"ไม่ใช่ว่าไม่ให้คุณสนใจ แต่ในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว โกรธไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ค่อยๆคิดหาทางแก้กันไปดีกว่า""ค่อยๆคิดหรอ? เรื่องมันขนาดนี้แล้วคุณยังจะค่อยๆคิดอีก? ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปจัดการลูกเองเลยดีมั้ย? ฉันไม่เอาแล้ว"พ่อของฉินเย่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา"คุณก็รู้ว่าผมเชื่อฟังคุณทุกอย่าง ลูกก็ด้วย แต่ถ้าคุณเป็นลูก คุณจะทำยังไง? ได้ยินว่าคนที่เคยช่วยชีวิตหายไปทั้งคน คุณจะนั่งรอในห้องผ่าตัดเฉย ๆ หรอ?" คุณแม่ฉินเงียบไป"อยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ คุณจะให้เขาเลือกยังไง?""ก็ไม่ใช่ว่าไม่ให้เขาไปตามหาหรอก แต่จำเป็นต้องไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เสิ่นหยินอู้ก็เหมือนกัน......โชคดีที่โม่ไป๋ไปเจอเข้า ไม่อย่างนั้นเสิ่นหยินอู้จะเป็นยังไงก็ไม่รู้ แล้วการที่ลูกต้องลำบากใจจะมีประโยชน์อะไร?""นั่นสิ โชคดีที่มีโม่ไป๋ คุณอย่าไปโทษฉินเย่อีกเลย ลูกเองก็คงรู้สึกแย่เหมือนกัน" "รู้สึกแย่ก็ดี ให้เขารู้สึกแย่ไปเลย ดีกว่ามารู้ว่าอะไรสำคัญที่สุดตอนที่สายไปแล้ว" แม้จะพูดแบบนั้น แต่เมื่อนึกถึงท่าทางของฉินเย่ที่เดินจากไปเงียบ ๆ หลังจากที่โดนเธอตบหน้าไปหนึ่งที คุณแม่ก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้เขาคงรู้สึ
เมื่อเห็นเขา เจียงฉูฉู่ก็สะดุ้งตกใจ จากนั้นก็แสดงความดีใจแล้วลุกจากเตียงเพื่อเดินไปหาฉินเย่ “เย่ ทำไมจู่ๆถึงมาที่นี่ล่ะ? อาการของคุณย่าเป็นยังไงบ้าง? การผ่าตัดประสบความสำเร็จดีไหม?” อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอเดินตรงหน้าฉินเย่ เธอกลับพบว่าใบหน้าของเขาบูดบึ้งและมีสายตาที่เย็นชา เมื่อนึกถึงเรื่องของซูเชี่ยวกับต้วนจื่อเหย่ เจียงฉูฉู่ก็รู้สึกผิด แต่เธอไม่กล้าที่จะแสดงมันออกมาแม้แต่น้อย เธอไม่สามารถตื่นตูมได้ ในเวลานี้ เธอต้องใจเย็นกว่านี้ สามารถปล่อยให้ฉินเย่เห็นในสิ่งที่เธอเป็นกังวลได้โดยเด็ดขาด เสียงของฉินเย่เย็นชา “คุณย่าไม่เป็นไร คุณล่ะ?” “อะไรนะ?” หัวใจของเจียงฉูฉู่เต้นผิดจังหวะ เธอคิดว่าเธอได้ยินผิดไป เมื่อกี้ที่ฉินเย่ถามคือเธอเหรอ? “เพื่อนของคุณล่ะ?” ฉินเย่กวาดสายตามองไปรอบๆห้องผู้ป่วย “รู้ไหมว่าพวกเขาไปไหนกันหมด?” “ไม่แน่ใจ” เจียงฉูฉู่ส่ายหัวและกัดริมฝีปากล่างเบาๆ “ก่อนหน้านี้ฉันออกไปข้างนอกมา พวกเธอคงไปตามหาฉันกันหมดน่ะ” "งั้นเหรอ?" เจียงฉูฉู่ไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาต้องการที่จะพูดอะไร เธอคิดว่าเธอถูกจับได้ แต่ฉินเย่ไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากสองคำนั้นและยังคงนิ่งเงียบ
ดังนั้นเธอจึงได้ให้ซูเชี่ยวอยู่เคียงข้างเธอมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่ซูเชี่ยวจะมีประโยชน์ขึ้นมาจริงๆ แล้วก็ต้วนจื่อเหย่ ในเมื่อเขาชอบเธอมาก ไปทนทุกข์แทนเธอสักหน่อย เขาคงจะเต็มใจสินะ? “ไม่เข้าใจเหรอ?” ดวงตาของฉินเย่เฉี่ยวคมและมืดมน นิ้วมือเย็นๆของเขาบีบคางของเธอไว้ราวกับงูกำลังรัดเหยื่อ “ฉูฉู่ คุณเคยช่วยชีวิตผมไว้ ผมเลยเชื่อใจคุณมาโดยตลอด แล้วก็มองคุณเป็นคนที่สำคัญมาก แต่ถึงแบบนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะโกหกผมได้ตามใจคุณ” เขาออกแรงเล็กน้อยที่มือของเขา เจียงฉูฉู่รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างชัดเจน ในขณะนี้ นอกเหนือจากความเย็นจากนิ้วของเขาแล้ว เจียงฉูฉู่ยังสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นที่ลึกล้ำและรุนแรงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขาอย่างชัดเจน เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เจียงฉูฉู่ก็ไม่อยากจะเชื่อว่าฉินเย่จะทำแบบนี้กับเธอ เขาเชื่อใจตัวเธอมาตลอดไม่ใช่หรอ? ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้? เมื่อหัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวด น้ำตาอันร้อนรุ่มก็ไหลออกมาจากดวงตาของเจียงฉูฉู่ ในเวลาไม่ถึงห้าวินาที เจียงฉูฉู่ก็ร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กขี้แย “เย่ ฉันไม่เข้าใจ นายกำลังพูดอะไรอยู
มันหมายความว่ายังไง? ยังไม่ได้ตรวจ? นั่นเท่ากับว่าเธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม? การที่จะไม่ตรวจสอบ ก็หมายความว่าเธอจะต้องไม่เป็นอะไรเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ ถ้าเธอแท้งลูก มันก็ต้องมีเลือดไหลออกมาแน่นอน และสถานการณ์จะเลวร้ายขึ้นมาก "ตรวจไปแล้ว" อย่างไรก็ตาม เสียงของฉินเย่ทำให้เจียงฉูฉู่กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง เจียงฉูฉู่รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ตรวจสอบไปแล้ว แต่ก็ไม่เป็นอะไร ถ้างั้นก็หมายความว่า... ตอนนี้ฉินเย่รู้เรื่องการตั้งครรภ์ของเธอแล้วงั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้น...เขากับเสิ่นหยินอู้คงคืนดีกันแล้ว และรู้ว่าเธอลบข้อความของเขาไปงั้นเหรอ? ถ้าถูกจับได้ เขาคงจะ... เจียงฉูฉู่เริ่มรู้สึกเย็นวาบที่หลังของเธอ ราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง ฉินเย่ไม่ปล่อยอารมณ์ใดๆบนใบหน้าของเธอให้เล็ดลอดไปได้ เขาตระหนักได้ว่าท่าทีของเจียงฉูฉู่ดูผิดปกติมากหลังจากที่เขาบอกว่าเขาตรวจไปแล้ว ดวงตาที่เฉี่ยวคมของเขาหรี่ลงด้วยความไม่ไว้วางใจ “ทำไมล่ะ? ที่เธอไม่ได้ตรวจ คุณเป็นห่วงมากเลยเหรอ?” หลังจากได้ยิน เจียงฉูฉู่ก็กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง เธอเปิดริมฝีปากของเธออย่างรวดเร็ว “แน่นอนว่าต้องเป็นห่วงอ
"ใช่" ฉินเย่พูดอย่างใจเย็น "มันเป็นเวลาที่คุณย่าเข้าห้องผ่าตัดจริงๆ และคุณก็รู้ดี คุณสามารถใช้ประโยชน์ในเวลานี้เพื่อปิดบังในสิ่งที่คุณทำได้" เมื่อได้ยิน รอยยิ้มของเจียงฉูฉู่ก็ซีดลงในทันที ร่างกายที่ผอมบางของเธอก็ยืนสั่นอยู่ที่เดิมราวกับจะล้มลงมา ดูเหมือนต้นวิลโลว์อันอ่อนแอที่พร้อมจะล้มลงไปตามสายลม “ที่แท้ นายก็ได้ตัดสินฉันอยู่ในใจไปตั้งนานแล้ว นายไม่ไว้ใจฉันเลย ฉินเย่ ทำไมนายถึงไม่เชื่อฉันล่ะ? เพียงเพราะครั้งที่แล้วฉันจงใจทำร้ายตัวเองเพื่อรักษาเกียรติของตัวเอง นายก็เลยคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงประเภทที่จะคิดชั่วทำชั่วอะไรก็ได้งั้นหรอ?” ฉินเย่หรี่ตาของเขาลง “งั้น ท้ายที่สุดคุณก็ยอมรับแล้วว่าคุณตั้งใจทำให้ตัวเองบาดเจ็บสินะ?” เจียงฉูฉู่ตัวสั่น “ครั้งก่อนฉันยอมรับไปแล้วไม่ใช่หรอ? มันเป็นสิ่งที่ฉันทำ ฉันก็ยอมรับไปแล้ว แต่ถ้าไม่ใช่สิ่งที่ฉันทำ ทำไมฉันต้องยอมรับด้วย? เรารู้จักกันมาตั้งหลายปีแล้ว เพื่อรักษาเกียรติของฉัน ฉันไม่เคยทำร้ายคนอื่น ทำฉันตัวของฉันเอง ฉันถึงขั้นเคยเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยนาย หยินอู้ก็เป็นเพื่อนคนสำคัญของนาย เธอถึงขั้นยอมแต่งงานปลอมๆกับนายเพื่อดูแลคุณย่า เพื่อให้คุณย่าย
ณ สถานีตำรวจ “ปล่อยฉันออกไปนะ ฉันไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิดกับเขา เรื่องทั้งหมดน่ะ เขาเป็นคนที่วางแผนคนเดียว พวกคุณยัดเยียดความผิดให้คนที่บริสุทธิ์อยู่นะ” ซูเชี่ยวพยายามดิ้นรนและตะโกนออกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ที่เธอถูกจับได้จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว เธอคิดว่าหลังจากสอบสวนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเขาอาจจะปล่อยเธอออกไป แต่เธอคิดผิด ตั้งแต่ที่เธอเข้ามาจนถึงตอนนี้ พวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเธอออกไปเลย ไม่เพียงเท่านั้น ต้วนจื่อเหย่ที่อยู่ข้างๆมีท่าทีเหมือนว่าได้ยอมรับชะตากรรมไปแล้ว เขาไม่ได้ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย ไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะขัดขืนหรือไม่ แต่เขายังยอมรับอีกว่าเขาสมรู้ร่วมคิดกับเธอ “ขอถามอีกครั้ง คุณได้สมรู้ร่วมคิดในการก่อคดีลักพาตัวกับผู้หญิงที่อยู่ข้างๆคุณที่ชื่อซูเชี่ยวหรือเปล่า?” ต้วนจื่อเหย่พยักหน้า "ครับ" “นอกจากเธอล่ะ? ยังมีใครที่เกี่ยวข้องอีกไหม?” เมื่อได้ยินคำถามนี้ ชื่อของเจียงฉูฉู่ก็แวบขึ้นมาในหัวของซูเชี่ยวโดยไม่รู้ตัว แต่ก่อนที่เธอจะได้โต้ตอบ ต้วนจื่อเหย่ที่อยู่ข้างๆก็ได้ปฏิเสธไปแล้ว “ไม่มีครับ มีแค่เราสองคน” หลังจากได้ยิน ซูเชี่ยวก็หันไปมองเข
คำพูดนี้ฟังดูหวานแหววมาก ทำเอาพยาบาลรู้สึกอิจฉาเสิ่นหยินอู้ขึ้นมาทันทีที่แท้ยังไม่เป็นแฟนกัน ก็ดีต่อคนอื่นเขาเพียงนี้แล้ว แถมยังอ่อนโยนมากด้วย น้ำเสียงตอนอธิบายก็อ่อนนุ่ม ซ้ำยังขอบคุณที่เธออวยพรด้วยทำไมบนโลกนี้ถึงได้มีคนอ่อนโยนขนาดนี้เนี่ย?พยาบาลกำลังคิดเหม่อลอยอยู่ ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกคนผลักเปิดออกฉินเย่ที่รูปร่างสูงยาวเดินเข้ามา บนตัวเขายังเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นเยือกอีกด้วย ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเย็นชาถึงขีดสุดทันทีที่เข้าไปในห้องผู้ป่วย สายตาของเขาก็ตกอยู่ที่ร่างกายของหญิงสาวที่กำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยทันทีหลังจากที่กวาดมองไปรอบหนึ่งถึงจะเปลี่ยนไปมองที่โม่ไป๋หลังจากนั้น เขาก็เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ฉันมารับเธอกลับบ้าน”บ้าน?เมื่อได้ยินคำคำนี้แล้ว พยาบาลก็ตกตะลึงในใจถึงกับใช้คำว่าบ้านด้วยกันแล้วเหรอเนี่ย หรือว่าสองคนนี้ถึงจะเป็นคู่จริงคู่แท้?เผชิญกับคำพูดตรงไปตรงมาของฉินเย่แล้ว โม่ไป๋เองก็ไม่โกรธ เพียงแค่กล่าวอย่างอ่อนโยนเหมือนเดิมว่า “นายจะพาเธอกลับไปได้ แต่ต้องรอให้เธอตื่นก่อน”ฉินเย่ปั้นหน้าเขียวก่อนที่ยังเข้ามา เขาแอบได้ยินบทสนทนาระหว่างโม่ไป๋กับพยาบาลแล้ว
โม่ไป๋อมยิ้ม“เย่ ฉันไม่ได้จะโทษนายหรอกนะ การที่นายออกหน้าแทนฉูฉู่ ฉันเข้าใจมาก เพราะยังไงซะ ความรู้สึกที่นายมีต่อหล่อน ก็เหมือนกับที่ฉันรู้สึกต่อหยินอู้ การจะออกหน้าแทนนั้นเป็นเรื่องปกติ”ฉินเย่ขมวดคิ้ว เม้มปากเป็นเส้นตรงเขาเข้าใจแล้ว คำพูดทุกถ้อยคำของโม่ไป๋หนีไม่พ้นเจียงฉูฉู่เลย ไม่ว่าอย่างไรก็จะจับคู่เขากับเจียงฉูฉู่ให้ได้ แล้วจับคู่ตัวเขาเองกับเสิ่นหยินอู้เขากำลังขับไล่ไสสงเขาออกจากเสิ่นหยินอู้อย่างหน้าซื่อเมื่อคิดเช่นนั้น ดวงตาที่กรุ่นโกรธของฉินเย่พลันกลอกไปมา เขากัดฟันกรามเบาๆ เสียงของเขาแฝงด้วยกลิ่นอายของการขบเคี้ยวเขี้ยวฟันแต่ทว่า บัดนี้เขากลับเถียงอะไรไม่ออกผ่านไปครู่หนึ่ง โม่ไป๋จึงกล่าวขึ้นราวกับนึกบางอย่างออก “ขอโทษที เมื่อกี้ฉันพูดแรงไปใช่ไหม?”ฉินเย่ “…”ทั้งสองเป็นเพื่อนกันมานานหลายปี นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉินเย่รู้สึกว่าโม่ไป๋เป็นคนที่ทำให้คนอื่นรู้สึกเกลียดขนาดนี้_เสิ่นหยินอู้ฝัน ฝันว่าตนอยู่ในห้องผู้ป่วย โดยมีฉินเย่และโม่ไป๋นั่งอยู่ข้างๆ ทั้งสองฝั่ง ริมฝีปากบางของทั้งสองเหมือนว่ากำลังพูดพร่ำอะไรอยู่สักอย่างเธอเหมือนจะเห็นชัด แต่ก็ไม่ได้ยินว่าพวกเขากำ
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ